ในยุคที่สกุลเงินดิจิทัลอย่างบิทคอยน์และคริปโตเคอร์เรนซี่ต่างๆ กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ การเทรดคริปโตก็กลายเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสร้างผลกำไรที่นักลงทุนให้ความสนใจ ปัจจุบันมีแอพพลิเคชั่นมือถือสำหรับเทรดคริปโตเกิดขึ้นมากมาย เพื่อรองรับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่ชอบความสะดวก รวดเร็ว สามารถทำธุรกรรมได้ทุกที่ทุกเวลา แต่ท่ามกลางตัวเลือกของแอพที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้หลายคนสับสนว่าควรเลือกเทรดผ่านแอพไหนดี วันนี้เราจะมาแนะนำแอพเทรดคริปโตทั้งในไทยและต่างประเทศ ที่ได้รับความนิยมและมีความน่าเชื่อถือ พร้อมเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของแต่ละแอพ เพื่อให้คุณสามารถเลือกแอพที่เหมาะกับความต้องการของตัวเองได้ง่ายขึ้น
แอพเทรดคริปโตในไทยน่าเชื่อถือ
1. Bitkub (บิทคับ)

Bitkub เป็นแอพพลิเคชั่นสำหรับซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลอันดับ 1 ของประเทศไทย ที่มียอดผู้ใช้งานสูงที่สุด เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2018 ปัจจุบันมีเหรียญให้เทรดมากกว่า 40 คู่ เช่น BTC, ETH, XRP, ADA, DOT, KUB เป็นต้น สามารถฝากและถอนได้ทั้งสกุลเงินบาทและ USDT ผ่านช่องทางต่างๆ อย่างสะดวก รวดเร็ว
จุดเด่น
- เว็บและแอพพลิเคชั่นใช้งานง่าย รองรับทั้งภาษาไทยและอังกฤษ
- มีระบบยืนยันตัวตนแบบ KYC ที่ปลอดภัย น่าเชื่อถือ
- ค่าธรรมเนียมการเทรดอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับเว็บอื่นในไทย
- มีระบบเก็บเหรียญแบบ Cold Wallet ที่ปลอดภัยสูงจาก Hackers
- มีบทความ คลิปวิดีโอ ให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนและสกุลเงินดิจิทัล
- ได้รับใบอนุญาต ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล จากกระทรวงการคลัง
จุดด้อย
- ในบางช่วงเวลาที่มีผู้ใช้งานเยอะ ระบบอาจมีความล่าช้า
- มีสกุลเงินให้เลือกเทรดน้อยกว่าเว็บในต่างประเทศ
2. Bitazza
Bitazza เป็นผู้ให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีบริการหลากหลายทั้งการซื้อขายแบบ Fiat-to-Crypto, Crypto-to-Crypto และการซื้อขายเหรียญผ่านระบบ OTC โดยมีจุดเด่นที่น่าสนใจดังนี้

จุดเด่น
- เป็นเว็บเทรดที่ถูกกฎหมายในประเทศไทย ได้รับการกำกับดูแลจาก ก.ล.ต. จึงมีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือสูง
- รองรับการฝากและถอนเงินสกุลบาทผ่านธนาคารชั้นนำของไทยหลายแห่ง ทำให้สะดวกรวดเร็ว
- ค่าธรรมเนียมการเทรด (Trading fee) ถือว่าค่อนข้างถูก เริ่มต้นเพียง 0.10% สำหรับ Taker fee
- มีระบบ OTC ที่ช่วยให้ซื้อขายเหรียญคริปโตโดยตรงกับผู้ใช้รายอื่นได้ในราคาที่ตกลงกัน
- มีกระดานเทรดเฉพาะที่แสดงถึงการเคลื่อนไหวของราคาในตลาดผ่านกราฟแท่งเทียน (Candlestick chart) ซึ่งทำให้วิเคราะห์กราฟทางเทคนิคได้ง่ายขึ้น
จุดด้อย
- มีเหรียญคริปโตและคู่เทรดให้เลือกค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับเว็บเทรดต่างประเทศอย่าง Binance
- สภาพคล่องในการซื้อขายบางเหรียญยังมีไม่สูงมากนัก ทำให้อาจต้องรอนานหากต้องการขายเหรียญจำนวนมากๆ
- การทำ KYC เพื่อยืนยันตัวตนอาจใช้เวลานานกว่าเว็บไทยอื่นๆ เพราะต้องผ่านการอนุมัติจากเจ้าหน้าที่หลายขั้นตอน
3. InnovestX
InnovestX เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายโทเคนดิจิทัลที่ก่อตั้งโดยคนไทย และได้รับการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างถูกต้องจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยมีจุดเด่นที่น่าสนใจหลายประการ ดังนี้

จุดเด่น
- เป็นแพลตฟอร์มที่พัฒนาโดยทีมงานคุณภาพจากประเทศไทย สามารถตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนไทยได้เป็นอย่างดี
- ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ให้ทำธุรกรรมได้อย่างครบวงจร ทั้งการเป็นศูนย์ซื้อขายโทเคนดิจิทัล นายหน้าซื้อขาย และที่ปรึกษาด้านสินทรัพย์ดิจิทัล
- เลือกลงทุนได้ทั้งในรูปแบบโทเคนและหุ้น เชื่อมต่อการลงทุนระหว่างโลกดิจิทัลและการลงทุนแบบดั้งเดิม
- มีหลักสูตรให้ความรู้และคำแนะนำเพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่นักลงทุนรายย่อย ก่อนเริ่มต้นลงทุนจริง
- ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการบันทึกข้อมูล ทำให้มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้
- เน้นการสร้างโอกาสการลงทุนในโปรเจกต์ที่มีศักยภาพสูง ผ่านการคัดกรองมาอย่างดี
จุดด้อย
- เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดให้บริการได้ไม่นาน จึงอาจมีจำนวนสินทรัพย์และสภาพคล่องน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเว็บใหญ่ๆ
- การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาค่อนข้างมาก อาจไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนบางประเภท
- การสมัครเปิดบัญชีต้องผ่านการพิสูจน์ตัวตนและบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลอย่างละเอียด ซึ่งอาจใช้เวลาและขั้นตอนพอสมควร
- เป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่ค่อนข้างใหม่ อาจมีความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงในอนาคต
แอพเทรดคริปโตต่างประเทศน่าเชื่อถือ
1. Binance
Binance ถือเป็นผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก่อตั้งในปี 2017 มีสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศมอลตา มีผู้ใช้งานจากทั่วโลก รวมถึงชาวไทยจำนวนมาก มีแอพทั้งบน iOS และ Android มีเหรียญให้เทรดหลากหลายกว่า 500 สกุล และรองรับการซื้อขายคริปโตคู่กับเงินสกุลหลัก เช่น BUSD, BTC, USDT

จุดเด่น
- แพลตฟอร์มที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุดในโลก มีสภาพคล่องสูง ค่า Spread ต่ำ
- ค่าธรรมเนียมการเทรดเริ่มต้นที่ 1% ถือว่าถูกมาก
- มีระบบ Charting ที่สามารถปรับแต่งและคำนวณทางเทคนิคได้หลากหลาย
- ใช้งานได้ทั้งบนเว็บไซต์ แอพมือถือ และโปรแกรม Desktop
- รองรับการฝากถอนหลายช่องทาง เช่น บัตรเครดิต บัตรเดบิต โอนธนาคาร
- ทีมพัฒนามีความชำนาญ และอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ๆ อยู่เสมอ
จุดด้อย
- อินเตอร์เฟซแอพทั้ง iOS และ Android ค่อนข้างซับซ้อน ผู้ใช้ใหม่อาจใช้เวลาในการเรียนรู้
- ปัจจุบันไม่มีการกำกับดูแลจาก ก.ล.ต. ในไทยอย่างเป็นทางการ
- เคยมีประวัติแฮ็คเกิดขึ้นเมื่อปี 2019 แต่ก็สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ดี
2. Coinbase
Coinbase คือเว็บและแอพเทรดสกุลดิจิทัลจากสหรัฐอเมริกา ที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2012 เน้นตลาดผู้ใช้งานในทวีปอเมริกาเป็นหลัก มีการดำเนินธุรกิจอย่างถูกกฎหมายและมีมาตรฐานความปลอดภัยในระดับสูง รองรับการซื้อขายเหรียญชั้นนำกว่า 50 สกุล เช่น BTC, ETH, ADA, LINK มีระบบเทรดที่ใช้งานได้ง่าย เหมาะกับผู้เริ่มต้น

จุดเด่น
- มีรูปแบบการซื้อขายที่หลากหลาย ตั้งแต่มือใหม่ยันมืออาชีพ
- สามารถซื้อคริปโตด้วยบัตรเครดิตและบัตรเดบิตได้โดยตรง
- ถือเป็น Exchange ที่ได้รับความน่าเชื่อถือสูงที่สุดในอเมริกา
- รองรับภาษาอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น เยอรมัน ฝรั่งเศส สเปน
- มีตัวเลือกประกันกรณีแพลตฟอร์มถูกแฮ็ค
- สามารถใช้บัญชี Coinbase ซื้อขายผ่าน Paypal ได้โดยตรง
จุดด้อย
- ค่าธรรมเนียมการถอนเงินจากแอพค่อนข้างสูง เฉลี่ย 5%
- มีสกุลเงินรองรับการเทรดน้อยกว่า Binance ค่อนข้างมาก
- ไม่รองรับการซื้อขายคู่เทรดกับสกุลเงินบาท
3. Bybit
Bybit เป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives Exchange) ของสินทรัพย์ดิจิทัล ก่อตั้งขึ้นในปี 2018 โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ในสิงคโปร์ ให้บริการซื้อขายสัญญาประเภท Perpetual Futures, Inverse Perpetual และ USDT Perpetual ของคริปโตเคอร์เรนซีชั้นนำ เช่น BTC, ETH, EOS, XRP เป็นต้น

จุดเด่น
- รองรับการเทรดแบบ Cross Margin และ Isolated Margin เพื่อช่วยบริหารความเสี่ยง
- ใช้เทคโนโลยี Dual-Price Mechanism เพื่อป้องกันการเกิด Overload ของระบบเมื่อมีความผันผวนสูง
- มีฟีเจอร์ Conditional Orders ที่ช่วยจำกัดความเสี่ยงจากการขาดทุน เช่น Stop Loss, Take Profit, Trailing Stop
- มีโปรแกรม Bybit Affiliates ที่ให้คอมมิชชั่นสูงถึง 30% ในรูปแบบซ้อนกัน 3 ชั้น
- รองรับการฝากเงินด้วย Cryptocurrency, Fiat (ผ่าน Banxa, XanPool, Moonpay) และ P2P
- มีระบบ Asset Exchange ที่ช่วยแปลงสินทรัพย์ระหว่าง Margin Account และ Funding Account ได้สะดวก
จุดด้อย
- ไม่มีการซื้อขายแบบ Spot Trading ใช้ได้เฉพาะการเทรดอนุพันธ์เท่านั้น
- Product Portfolio มีให้เลือกไม่มากเท่ากับแพลตฟอร์มคู่แข่งรายอื่นๆ
- มีการจำกัดวงเงินการถอนสูงสุดต่อวัน หากไม่ยืนยันตัวตน
- อาจมีความเสี่ยงจากการเป็นบริษัทต่างชาติ ที่ไม่มีหน่วยงานกำกับดูแลโดยตรง
โดยสรุปการเลือกแอพเทรดคริปโต ทั้งของไทยและต่างประเทศ ควรพิจารณาปัจจัยสำคัญหลายด้าน ทั้งในเรื่องความน่าเชื่อถือและความปลอดภัย ค่าธรรมเนียมการใช้งาน ความง่ายต่อการเรียนรู้ จำนวนสกุลเงินที่รองรับ ปริมาณการซื้อขาย ไปจนถึงคุณภาพในการให้บริการ โดยหากเทียบกันแล้ว แอพในต่างประเทศ เช่น Binance, FTX จะมีความหลากหลายของคู่เทรดและฟีเจอร์การใช้งานมากกว่า ค่าธรรมเนียมถูกกว่า สภาพคล่องในตลาดสูงกว่า
ส่วนข้อได้เปรียบของแอพไทย อย่างเช่น Bitkub, Satang, Zipmex จะอยู่ที่ความสะดวกในการฝาก/ถอนโดยใช้เงินบาทได้โดยตรง เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่ถนัดภาษาอังกฤษ และยังอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. และกฎหมายไทย ซึ่งให้ความรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจได้มากกว่า แม้จะมีค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าและมีเหรียญให้เลือกน้อยกว่าก็ตาม
สุดท้ายนี้ สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือ การซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ไม่มีแอพเทรดไหนรับประกันในเรื่องผลกำไร ดังนั้นผู้ลงทุนจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลทั้งในเชิงเทคนิคและข่าวสารให้รอบด้าน ประเมินความเสี่ยงและจัดสรรเงินลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสม รวมทั้งใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยง เช่น Stop Loss เพื่อป้องกันการขาดทุนเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ การเลือกแอพเทรดที่มีคุณภาพเป็นเพียงจุดเริ่มต้น สิ่งที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการลงทุนขึ้นอยู่ที่ความเข้าใจ วินัย และการตัดสินใจอย่างมีเหตุผลของผู้ลงทุนเอง