การเทรด Spot และ Futures เป็นสองรูปแบบการลงทุนที่แตกต่างกันอย่างมาก แม้จะมีเป้าหมายเพื่อทำกำไรเหมือนกัน แต่ก็มีลักษณะเฉพาะตัวที่นักลงทุนควรศึกษาทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจเลือกลงทุน มาดูความแตกต่างที่สำคัญกัน
การเทรด Spot คืออะไร

การเทรด Spot คือการซื้อขายสินทรัพย์ ณ ราคาตลาดปัจจุบัน โดยผู้ซื้อและผู้ขายจะทำการชำระเงินและส่งมอบสินค้าทันที ระยะเวลาการส่งมอบมักไม่เกิน 2 วันทำการ ในอดีตมักหมายถึงการซื้อขายสินทรัพย์รูปธรรม เช่น แลกเงินสดกับทองคำ แต่ปัจจุบันมักเป็นการเก็งกำไรส่วนต่างราคาผ่านระบบออนไลน์
ข้อดีของการเทรด Spot คือความเรียบง่าย เพราะเป็นการซื้อขายด้วยราคาปัจจุบัน ไม่ต้องกังวลเรื่องการส่งมอบในอนาคต นักลงทุนสามารถเข้าออกตลาดได้ตลอดเวลา และปิดธุรกรรมได้รวดเร็ว เหมาะสำหรับทั้งการเก็งกำไรระยะสั้นและถือครองระยะยาว
ตลาด Spot ครอบคลุมสินทรัพย์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ฟอเร็กซ์ (คู่สกุลเงิน), ทองคำ, หุ้น, พันธบัตร ไปจนถึงสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งราคาที่ใช้ซื้อขายจะเป็นราคาล่าสุด ณ ขณะนั้น และเมื่อเกิดการตกลงซื้อขายแล้ว ผู้ซื้อก็จะได้รับการส่งมอบสินทรัพย์ ขณะที่ผู้ขายได้รับเงินชำระราคาทันทีเช่นกัน
ปัจจุบันการซื้อขาย Spot ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง เพราะสะดวก รวดเร็ว ทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง แค่มีอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์เชื่อมต่อก็สามารถเข้าถึงตลาดได้ทั่วโลก และมีค่าธรรมเนียมการเทรดที่ต่ำกว่าช่องทางแบบดั้งเดิม เหมาะสำหรับนักลงทุนทั่วไปที่ต้องการซื้อขายอย่างอิสระ
แต่อย่างไรก็ตาม การเทรด Spot ก็มีความเสี่ยงที่ต้องระวัง เช่น ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความไม่แน่นอนของปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมือง ฯลฯ ที่อาจส่งผลให้ราคาสินทรัพย์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นนักลงทุนจึงควรศึกษาและทำความเข้าใจตลาดอย่างถ่องแท้ มีการจัดการความเสี่ยงที่ดี เช่น การกระจายการลงทุน การตั้งระดับ stop loss เป็นต้น เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
การเทรด Futures คืออะไร
การเทรด Futures คือการทำสัญญาซื้อหรือขายสินทรัพย์ล่วงหน้าในราคาที่กำหนดและวันที่ระบุไว้ตั้งแต่ต้น ผู้ซื้อและผู้ขายจะได้รับส่งมอบสินค้าจริงเมื่อถึงวันครบกำหนดในสัญญา โดยก่อนวันครบกำหนดสามารถเลือกสถานะ Long หรือ Short เพื่อปิดสัญญาได้
ข้อดีของการเทรด Futures คือสามารถทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลงจากการ Long หรือ Short และมักมี Leverage สูงที่ช่วยเพิ่มอำนาจซื้อขาย ลงทุนเงินน้อยแต่มีโอกาสทำกำไรหรือขาดทุนมหาศาลได้ จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงสูงและต้องการเก็งกำไรระยะสั้นเป็นหลัก
การเทรด Futures มีความซับซ้อนกว่า Spot มาก เนื่องจากนอกจากจะต้องวิเคราะห์ทิศทางราคาแล้ว ยังต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น ค่าคอมมิชชั่น, ค่าสเปรด, วันหมดอายุสัญญา, ข้อกำหนดในการรับส่งมอบสินค้า ฯลฯ ซึ่งมีความแตกต่างกันไปตามประเภทสินทรัพย์และตลาดที่ซื้อขาย ผู้เทรดจึงจำเป็นต้องศึกษากฎเกณฑ์และกลไกของสัญญา Futures แต่ละตัวให้เข้าใจอย่างถ่องแท้
นอกจากนี้ การเทรด Futures ยังมีความเสี่ยงสูงจากการใช้ Leverage ซึ่งเป็นดาบสองคมที่อาจทำให้ขาดทุนเกินเงินลงทุนได้ หากราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงข้ามกับที่คาด ดังนั้นนักลงทุนจึงต้องมีวินัยในการจัดการความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด เช่น การใช้ stop loss, ไม่ over leverage, กำหนดเป้าหมายกำไร-ขาดทุนที่ชัดเจน และต้องพร้อมปิดสถานะทุกเมื่อหากเห็นว่ามีความผิดพลาดในการคาดการณ์
ด้วยเหตุนี้ การเทรด Futures จึงมักเหมาะกับนักลงทุนที่มีประสบการณ์ มีความรู้ความเข้าใจตลาดเป็นอย่างดี ชอบความท้าทาย และพร้อมจะรับความเสี่ยงสูงเพื่อแลกกับโอกาสในการทำกำไรที่มากกว่า
ความแตกต่างสำคัญระหว่าง Spot กับ Futures

Spot และ Futures เป็นสองรูปแบบการเทรดที่ได้รับความนิยมในหมู่นักลงทุน แต่ทั้งสองมีความแตกต่างกันอย่างมากในหลายๆ ด้าน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่เราควรทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจเลือกลงทุน มาดู 5 ข้อแตกต่างหลักระหว่าง Spot และ Futures กัน
1. จังหวะเวลาในการเทรด
การเทรด Spot เป็นการซื้อขายสินทรัพย์ที่มีอยู่จริงในปัจจุบัน ณ ราคาตลาดขณะนั้น เมื่อเกิดการซื้อขายแล้วจะมีการส่งมอบสินทรัพย์และชำระเงินกันทันที ส่วนการเทรด Futures นั้นเป็นการทำสัญญาซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิงล่วงหน้าในอนาคต โดยกำหนดราคา ปริมาณ และวันที่จะส่งมอบไว้แน่นอน ซึ่งจะมีการชำระราคาและส่งมอบสินค้าจริงกันในวันที่ครบกำหนดตามสัญญา
นักลงทุน Spot จึงต้องพิจารณาสภาวะตลาดและราคา ณ ปัจจุบัน ส่วนนักลงทุน Futures จะต้องคาดการณ์ทิศทางราคาในอนาคต ทั้งจากการวิเคราะห์ทางเทคนิค ปัจจัยพื้นฐาน ตลอดจนเหตุการณ์ข่าวสารที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาในระยะข้างหน้า
2. การได้ครอบครองสินทรัพย์
จุดแตกต่างสำคัญอีกข้อคือ เมื่อเทรด Spot เราจะได้รับสินทรัพย์ที่ซื้อขายมาเป็นเจ้าของทันทีหลังจากการซื้อขายเสร็จสิ้น แต่ในการเทรด Futures เราจะยังไม่ได้ครอบครองสินทรัพย์อ้างอิงจริงๆ จนกว่าจะถึงวันครบกำหนดสัญญา
การเทรด Spot จึงเหมาะสำหรับการลงทุนที่ต้องการถือครองสินทรัพย์จริงในระยะยาว หรือนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที ในขณะที่ Futures จะเน้นการเก็งกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคาเป็นหลัก โดยอาจไม่จำเป็นต้องรับมอบสินค้าจริงเลยก็ได้ หากมีการล้างฐานะก่อนวันส่งมอบ
3. ระดับ Leverage ที่สูงกว่า
ข้อแตกต่างสำคัญที่ทำให้ Futures เป็นที่นิยมในหมู่นักเก็งกำไรคือ การมี Leverage หรือเงินทุนที่ใช้ในการซื้อขายต่อหน่วยสูงกว่า Spot หลายเท่า ยกตัวอย่างเช่น ในตลาด Forex ทั่วไป Leverage ในบัญชี Spot อาจอยู่ที่ 1:100 แต่ในบัญชี Futures อาจสูงถึง 1:500 หรือมากกว่านั้น
นั่นหมายความว่า ด้วยเงินลงทุนเท่ากัน การเทรด Futures จะมีอำนาจซื้อขายที่มากกว่า Spot หลายเท่า มีโอกาสทำกำไรได้สูง แต่ในทางกลับกันก็มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนมากขึ้นเช่นกัน Leverage จึงเป็นดาบสองคมที่นักลงทุนต้องใช้อย่างระมัดระวัง
4. กรอบเวลาการลงทุนที่ต่างกัน
โดยทั่วไปแล้ว การเทรด Spot จะเหมาะกับการลงทุนในทุกกรอบเวลา ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นเพื่อเก็งกำไรรายวัน (Day Trade) หรือระยะยาวเพื่อสะสมทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่การเทรด Futures นั้นมักเน้นการเก็งกำไรในระยะสั้นเป็นหลัก โดยอาศัยความผันผวนของราคาเป็นโอกาสในการทำกำไร
เนื่องจาก Futures มี Leverage ที่สูงและมีวันหมดอายุของสัญญาเป็นตัวกำหนด การถือครองฐานะเป็นระยะเวลานานๆ อาจมีความเสี่ยงมากเกินไป นักเทรด Futures ส่วนใหญ่จึงใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อหาจังหวะในการเข้าและออกตลาดที่รวดเร็ว พร้อมตัดขาดทุนเมื่อราคาเคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามคาด
5. เงื่อนไขและข้อจำกัดของสัญญา
ในขณะที่ Spot ให้อิสระแก่นักลงทุนค่อนข้างมากในการซื้อขาย ไม่มีเงื่อนไขหรือข้อจำกัดมากนัก แต่ Futures กลับมีรายละเอียดต่างๆ ของสัญญาที่จำเป็นต้องทำความเข้าใจก่อนเริ่มลงทุน ไม่ว่าจะเป็นขนาดของสัญญา วันหมดอายุ การส่งมอบสินค้า ราคาส่งมอบ การกำหนดมาร์จิ้น ฯลฯ
หากเราไม่ศึกษากฎเกณฑ์เหล่านี้ให้ถ่องแท้ อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดในการส่งคำสั่งซื้อขายได้ เช่น ส่งคำสั่งผิดขนาดสัญญา ไม่มีเงินมาร์จิ้นพอสำหรับการถือครองสัญญา ไม่ได้ทำการปิดสัญญาก่อนวันหมดอายุ เป็นต้น ความเข้าใจในเงื่อนไขต่างๆ ของ Futures จึงเป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้เลยทีเดียว
เหมาะสำหรับใคร

โดยสรุปแล้ว การตัดสินใจเลือกเทรด Spot หรือ Futures ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น เป้าหมาย กลยุทธ์ ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ตลาดของแต่ละคน ไม่มีรูปแบบใดที่ดีที่สุดเหมาะกับทุกคน แต่ควรเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุดเพื่อโอกาสประสบความสำเร็จ
สิ่งสำคัญคือต้องรู้จักตัวเองให้ดี ทั้งเป้าหมาย บุคลิก ทักษะ เงินทุน และวินัยในการลงทุน จากนั้นจึงเลือกตลาดและเครื่องมือที่เหมาะสมที่สุด พร้อมศึกษาเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของตลาดการเงินที่ผันผวนอยู่เสมอ
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ การเริ่มต้นจากการเทรด Spot น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เพราะมีความซับซ้อนน้อยกว่า ใช้เงินลงทุนน้อยกว่า มีสภาพคล่องสูง เหมาะสำหรับการเรียนรู้การลงทุนในตลาด ขณะเดียวกันก็สามารถปรับกลยุทธ์เป็นแบบ swing trade หรือ position trade เพื่อถือครองระยะยาวได้เช่นกัน
แต่หากมีความมั่นใจในความสามารถ และต้องการความท้าทายมากขึ้น การขยับไปเทรด Futures ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะมีโอกาสได้กำไรที่สูงกว่ามาก แต่ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน จึงจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่องการวิเคราะห์กราฟเทคนิค การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน และเทคนิคการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ