Binance เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากบริการซื้อขายสปอตแล้ว ยังมีบริการซื้อขายตราสารอนุพันธ์อย่าง Binance Futures ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่นักลงทุน เนื่องจากสามารถเทรดได้ทั้ง 2 ฝั่งตลาด (Long/Short) และทำกำไรได้มากกว่าการถือเหรียญแบบปกติ
Binance Futures คืออะไร?

Binance Futures เป็นแพลตฟอร์มการเทรด Bitcoin และ Cryptocurrency แบบ Derivatives ของ Binance ที่เปิดให้บริการในปี 2019 โดยเป็นการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures Contract) ที่มีสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสินค้าอ้างอิง
การเทรด Futures เป็นการเก็งกำไรจากความผันผวนของราคา โดยไม่จำเป็นต้องถือครองเหรียญจริง แต่ใช้การวางมาร์จิ้นเพื่อเปิดสัญญาแทน ซึ่งเราสามารถเลือกฝั่งที่จะเทรดได้ว่าจะ Long (คาดว่าราคาจะขึ้น) หรือ Short (คาดว่าราคาจะลง)
สัญญา Futures บน Binance มีให้เลือก 2 ประเภท คือ
- USD-M Futures: ใช้ Stablecoin อย่าง USDT, BUSD เป็นหลักประกัน
- COIN-M Futures: ใช้เหรียญคริปโต เช่น BTC, ETH เป็นหลักประกัน
โดยสัญญา Futures มีวันหมดอายุที่แน่นอน (Expiration Date) เมื่อถึงเวลาจะมีการชำระราคากันตามมูลค่าของสัญญา ซึ่งบน Binance Futures กำหนดให้สัญญามีอายุสูงสุด 1 เดือนหรือ 3 เดือน
ขั้นตอนการสมัครและใช้งาน Binance Futures

- สมัครบัญชีกับ Binance – สามารถสมัครได้ง่ายๆ ผ่านหน้าเว็บหรือแอปบนมือถือ โดยระบุอีเมลและตั้ง Password
- ยืนยันตัวตน (KYC) – เมื่อสมัครเสร็จ ต้องทำการ Upload เอกสารยืนยันตัวตน เช่น บัตรประชาชน เพื่อปลดล็อควงเงินและฟีเจอร์ต่างๆ สำหรับนักลงทุนชาวไทย ยังมีขั้นตอนพิเศษเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย
- ฝากเงินเข้าบัญชี – หลังยืนยันตัวตนเรียบร้อย สามารถฝากเงินเพื่อเป็นทุนในการเทรดได้ทันที ซึ่งวิธีการฝากมีให้เลือกหลายช่องทาง ทั้งการโอนเงินบาท ฝากเหรียญสเตเบิลคอยน์ หรือฝากเหรียญคริปโตอื่นๆ เข้ามาแปลงเป็น USDT
- เปิดบัญชีเพื่อเทรด Futures – จากหน้าหลักของแพลตฟอร์ม เลือกเมนู Derivatives > Futures เพื่อเข้าสู่หน้าการเทรด Futures แล้วคลิกปุ่ม “Open Account” เพื่อเปิดบัญชีเทรด Futures
- โอนเงินทุนมาเพื่อเทรด – เมื่อเปิดบัญชี Futures แล้ว ให้ทำการโอนเงินทุนจากกระเป๋าสปอต (Spot Wallet) มายังกระเป๋า Futures (Futures Wallet)
- เลือกคู่เทรดและวางออร์เดอร์ – ไปที่หน้า Futures Trading เลือกคู่สินทรัพย์ที่ต้องการเทรด เช่น BTCUSDT กำหนดจำนวนวงเงินและระดับเลเวอเรจที่ต้องการ หากคาดว่าราคาจะขึ้นให้กดปุ่ม Long (เขียว) หากคาดว่าราคาจะลงให้กดปุ่ม Short (แดง)
- กำหนด Stop loss / Take profit – หลังจากเปิดออร์เดอร์แล้ว ควรตั้งระดับราคา Stop Loss เพื่อตัดขาดทุนหากราคาไม่เป็นไปตามคาด และตั้งราคา Take Profit เพื่อทำกำไรเมื่อราคาไปถึงเป้าหมาย การตั้งค่านี้จะช่วยจำกัดความเสี่ยง และล็อคกำไรโดยอัตโนมัติ
- ปิดสัญญาเพื่อทำกำไร – เมื่อราคาไปถึงจุดที่พอใจแล้ว ก็ให้ทำการปิดสัญญา (Close Position) เพื่อรับกำไรหรือขาดทุน โดยกำไรขาดทุนจะคำนวนจากส่วนต่างของราคาปิดและราคาเปิดคูณกับขนาดสัญญา
กฎและข้อจำกัดที่ต้องทราบก่อนใช้งาน
- มีเวลาหมดอายุของสัญญา – สัญญา Futures ทุกสัญญาจะมีเวลาหมดอายุแน่นอน ซึ่งบน Binance มีสัญญาทั้งแบบรายวัน (ปิดตำแหน่งทุกวันเวลา 00 น.) สัญญารายสัปดาห์ (ปิดทุกวันศุกร์เวลา 08.00 น.) และสัญญารายไตรมาส (ปิดทุกไตรมาส เดือนมี.ค., มิ.ย., ก.ย., ธ.ค.) แต่ไม่มีสัญญาแบบถาวรไม่หมดอายุ
- ต้องคอยดูแลมาร์จิ้น – การเทรด Futures จำเป็นต้องวางหลักประกันหรือที่เรียกว่ามาร์จิ้น เพื่อป้องกันการขาดทุนของแพลตฟอร์มเมื่อราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงข้ามมากๆ หากมาร์จิ้นในบัญชีลดต่ำกว่าที่กำหนด (Maintenance Margin) ระบบจะดำเนินการบังคับปิดสัญญาทันทีเพื่อป้องกันการติดลบ
- มีขนาดสัญญาขั้นต่ำในการเทรด – Binance Futures กำหนดให้แต่ละออร์เดอร์ต้องมีขนาดสัญญาขั้นต่ำ (Minimum Contract Size) ซึ่งจะแตกต่างกันในแต่ละสินทรัพย์ เช่น BTC = 0.001, ETH = 0.01, BNB = 0.1 เป็นต้น หากเปิดออร์เดอร์ด้วยขนาดต่ำกว่านี้จะไม่สามารถส่งคำสั่งได้
- อาจมีการเปลี่ยนแปลงสเปกสัญญาเป็นครั้งคราว – บางครั้ง Binance อาจมีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดของสัญญา Futures เช่น Leverage, Margin, Tier เป็นต้น ซึ่งจะมีการแจ้งล่วงหน้าผ่านทาง Website หรืออีเมล ดังนั้นควรตรวจสอบและปรับตามอยู่เสมอ
วิธีการวิเคราะห์และเทรด Binance Futures

หัวใจสำคัญของการเทรด Futures คือการคาดการณ์ทิศทางราคาได้อย่างแม่นยำ เพื่อจะได้เปิดสัญญาได้ถูกฝั่ง (Long/Short) และทำกำไรจากส่วนต่างราคา ซึ่งการจะทำแบบนั้นได้ ต้องอาศัยการวิเคราะห์ทั้งเชิงเทคนิคและเชิงพื้นฐานประกอบกัน โดยมีวิธีการดังนี้
- วิเคราะห์กราฟ (Technical Analysis) – หลักการคือ การใช้ข้อมูลราคาในอดีต เพื่อหาแนวโน้มราคาในอนาคต โดยใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น เส้นแนวรับแนวต้าน, อินดิเคเตอร์ (Moving Average, RSI, MACD เป็นต้น) โดย Binance Futures มีกราฟและอินดิเคเตอร์ให้ใช้งานอย่างครบถ้วน
- ดูข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญ – ควรติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล เช่น นโยบายการควบคุมของรัฐ, การนำไปใช้งานของสถาบันการเงิน, เหตุการณ์สำคัญอย่าง Halving เป็นต้น เพื่อคาดเดาแนวโน้มราคาในระยะกลางและระยะยาวได้แม่นยำมากขึ้น
- ดู Sentiment ของตลาด – อารมณ์ความรู้สึกของนักลงทุนส่วนใหญ่ ก็เป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อราคาไม่น้อยเช่นกัน เราสามารถดูได้จาก Social Media, กระดานเทรด Futures และยอดการถือครอง Bitcoin ของกลุ่มวาฬเงินต่างๆ
- อ่านกราฟ Liquidation – Binance Futures มีกราฟแสดงจำนวนการบังคับปิดสัญญา (Liquidation) ในแต่ละวัน เราสามารถดูได้ว่ามีการเปิดสถานะ Long หรือ Short มากกว่ากัน หากฝั่งใดมีการ Liquidation มากแสดงว่ากำลังผิดทาง และราคามีโอกาสที่จะกลับตัวในอีกฝั่ง
- วัดระดับ Funding Rate – Funding Rate คือ ค่าธรรมเนียมที่ทาง Binance คิดเพื่อให้ราคา Futures กับราคา Spot เท่ากัน โดยหากอยู่ในภาวะ Contango (ราคา Futures > ราคา Spot) Funding Rate จะเป็นบวก แสดงว่ามีคนเปิด Long มากเกินไป แต่ถ้าเป็น Backwardation (ราคา Futures < ราคา Spot) Funding Rate จะติดลบ แสดงว่ามีคนเปิด Short มากเกินไป
- ปรับระดับ Leverage ให้เหมาะสม – การปรับ Leverage สูงจะยิ่งทำให้มี Liquidation ง่าย ในขณะที่ Leverage ต่ำจะมีความเสี่ยงน้อยกว่า ดังนั้นควรปรับให้เหมาะสมกับแผนการเทรด หากเน้นเทรดระยะสั้นรับความเสี่ยงสูง อาจใช้ 20-50x แต่ถ้าเน้นถือระยะยาวเพื่อความปลอดภัย อาจใช้ 1-5x เท่านั้น
- ใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยง – Stop Loss, Take Profit ทุกครั้งที่เปิดสัญญา ควรตั้งระดับ Stop Loss เพื่อตัดขาดทุนเมื่อราคาไม่เป็นไปตามที่คาด และตั้ง Take Profit เพื่อปิดกำไรเมื่อราคาเป็นไปตามเป้าหมาย
- มีวินัยและอย่าใช้อารมณ์ – สิ่งสำคัญคือต้องใจเย็น อย่าใจร้อน อย่าหลงกับกำไรที่มากเกินจริง และอย่ากลัวขาดทุนจนไม่กล้าตัดออก โดยต้องมีแผนจัดการเงินทุนที่ชัดเจน ควบคุมความเสี่ยงและอารมณ์ให้ได้ นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเอาชนะตลาดในระยะยาว
โดยสรุป Binance Futures เป็นเครื่องมือการเทรดที่ทรงพลัง ช่วยให้นักลงทุนสามารถทำกำไรได้ทั้งในตลาดขาขึ้นและขาลง ด้วยคุณสมบัติคับแก่ใจ ทั้งค่าธรรมเนียมต่ำ เลเวอเรจสูงสุด 125 เท่า พร้อมเครื่องมือการซื้อขายและบริหารความเสี่ยงอย่างครบครัน
อย่างไรก็ตาม เทรด Futures ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน การใช้เลเวอเรจที่มากเกินไปอาจทำให้เสียเงินทุนได้ทั้งหมด รวมถึงกฎเกณฑ์บางอย่างก็ไม่เหมือนการซื้อขายสปอตทั่วไป อาจสร้างความสับสนให้แก่มือใหม่ได้
ดังนั้น ก่อนจะลงทุนเทรด Futures จริง ควรศึกษาวิธีการทำงานของระบบและความเสี่ยงให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อน ฝึกฝนในบัญชีทดลอง (Demo Account) จนมั่นใจ ค่อยๆ เพิ่มเงินทุนทีละน้อย อย่าใจร้อน และต้องมีวินัยในการบริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด