เทรด future คริปโตที่ไหนดี

ในปัจจุบัน การเทรด Future กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในวงการคริปโต เนื่องจากเป็นวิธีที่ช่วยให้นักเทรดสามารถทำกำไรได้มากขึ้น จากการคาดการณ์ทิศทางของราคา ทั้งในตลาดขาขึ้นและขาลง อีกทั้งยังใช้เงินลงทุนเริ่มต้นที่น้อยกว่าการถือครองเหรียญโดยตรง (Spot Trade)

อย่างไรก็ตาม การเลือกแพลตฟอร์มเทรด Future ที่เหมาะสม ก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน เพราะแต่ละแพลตฟอร์มจะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ทั้งในแง่ของสภาพคล่อง, ความหลากหลายของเหรียญ, ค่าธรรมเนียม, ความปลอดภัย, รวมถึงฟีเจอร์พิเศษต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อผลกำไรและประสบการณ์การเทรดทั้งสิ้น

ดังนั้น วันนี้เราจึงจะมาเปรียบเทียบแพลตฟอร์มเทรด Future ชั้นนำ 5 แห่ง  เพื่อให้นักเทรดสามารถเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะกับสไตล์และความต้องการของตัวเองได้มากที่สุด

เทรด future คริปโตที่ไหนดี
เทรด future คริปโตที่ไหนดี

1. Binance Futures

Binance นับเป็นแพลตฟอร์มซื้อขาย Crypto อันดับ 1 ของโลก และได้เปิดให้บริการ Binance Futures โดยเฉพาะ เพื่อรองรับการเทรด Crypto Futures โดยมีข้อดีหลายประการ ดังนี้

Binance
Binance

ข้อดี

  • มีสภาพคล่องสูงมาก เหมาะสำหรับการเทรดปริมาณเงินจำนวนมาก โดยไม่ต้องกังวลเรื่อง Slippage
  • รองรับเหรียญ Crypto ให้เทรดมากกว่า 100 เหรียญ โดยเฉพาะคู่เทรดหลักอย่าง BTC, ETH, BNB จะมีสภาพคล่องดีที่สุด
  • รองรับการเทรดแบบ Leverage หรือการใช้เงินทุนเริ่มต้นน้อย สามารถปรับระดับได้สูงสุดถึง 125 เท่า
  • มีโหมดการเทรดให้เลือก 2 แบบคือ Cross margin (ความเสี่ยงปานกลาง) และ Isolated margin (ความเสี่ยงสูง)
  • มีค่าธรรมเนียมต่ำที่สุดในกลุ่มเมื่อเทียบกับคู่แข่ง โดยเฉพาะใครที่ถือโทเคน BNB จะได้ส่วนลดเพิ่มด้วย
  • มี UI ที่ใช้งานง่าย พร้อมกราฟราคา และเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคให้ใช้ฟรี
  • ระบบมีเสถียรภาพสูง รองรับการเทรดจากทั่วโลกได้ดี แทบไม่เคยมีปัญหาระบบล่ม

ข้อเสีย

  • การฝากเงินเข้า Binance ทำได้เฉพาะเงินดิจิทัล ไม่รองรับการฝากผ่านธนาคาร หรือบัตรเครดิต/เดบิต
  • ระบบยืนยันตัวตน (KYC) ค่อนข้างเข้มงวด ต้องใช้เอกสารยืนยันหลายอย่าง อาจไม่ค่อยสะดวกสำหรับนักเทรดบางคน

2.  Bitget

Bitget เป็นเว็บเทรดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) สกุลเงินดิจิทัลจากประเทศสิงคโปร์ ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2018 ซึ่งได้รับความนิยมจากนักเทรดเดอร์ในระยะเวลาอันสั้น เนื่องจากมีจุดเด่นหลายอย่าง ดังนี้

Bitget
Bitget

ข้อดี

  • รองรับการเทรด Futures ของเหรียญคริปโตกว่า 100 สกุล ทั้งเหรียญใหญ่อย่าง BTC, ETH และเหรียญ Altcoin มากมาย เปิดโอกาสให้เก็งกำไรจากความผันผวนของราคาได้หลากหลาย
  • เลือกใช้ Leverage ได้สูงสุดถึง 100 เท่า โดยปรับระดับได้ละเอียด เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ชอบใช้ Margin มีประสบการณ์ แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน
  • มีระบบ Copy Trade ที่ให้ผู้ใช้สามารถคัดลอกการเทรดของเทรดเดอร์มืออาชีพได้อัตโนมัติ ทำให้มือใหม่ที่ยังไม่มีความรู้ด้านเทคนิคสามารถเข้ามาเทรดตามรอยได้ง่ายๆ
  • ค่าธรรมเนียมการเทรด (Trading Fee) อยู่ในเกณฑ์ที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับเว็บเทรด Futures ทั่วไป โดย Maker จะได้รับเงินคืน 0.02% ส่วน Taker ก็เสียค่าธรรมเนียมเพียง 0.04 – 0.06% ตามปริมาณการเทรด
  • มีแอปมือถือที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย รองรับการเทรดได้อย่างสะดวกรวดเร็วทุกที่ทุกเวลา เหมาะกับนักเทรดยุคใหม่

ข้อเสีย

  • สภาพคล่องในการซื้อขายยังเทียบไม่ได้กับเว็บยักษ์ใหญ่อย่าง Binance ทำให้การเคลื่อนไหวของราคาอาจมีความผันผวนสูง
  • ค่าธรรมเนียมการฝาก-ถอน และค่าธรรมเนียมเครือข่ายสำหรับบางเหรียญค่อนข้างแพง ถ้าทำธุรกรรมบ่อยอาจทำให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นไปด้วย
  • ยังมีเครื่องมือการเทรดขั้นสูง หรือฟีเจอร์เสริมให้ใช้งานไม่มากนัก เมื่อเทียบกับคู่แข่งบางราย

3. Bybit

Bybit เป็นแพลตฟอร์มเทรด Crypto ที่เน้นรูปแบบการเทรดแบบ Leverage โดยเฉพาะ จึงออกแบบฟีเจอร์มาเพื่อช่วยให้นักเทรดบริหารความเสี่ยงได้ดีขึ้น

Bybit
Bybit

ข้อดี

  • มีฟีเจอร์ Stop Loss หรือ Take Profit ติดตั้งมาในตัว ช่วยจำกัดความเสี่ยงในการขาดทุนโดยอัตโนมัติ เพิ่มความปลอดภัยให้การเทรด
  • มีระบบป้องกัน Liquidation หรือการล้างพอร์ต โดยเทรดเดอร์สามารถปรับเปลี่ยนความเสี่ยงที่รับได้ตามต้องการ
  • มีระบบ Leaderboard ให้ศึกษากลยุทธ์เทรดของเทรดเดอร์ที่ทำผลงานดีที่สุด ผ่านระบบ Copy Trading ได้โดยตรง
  • ทีมพัฒนาแพลตฟอร์มมีประสบการณ์จากตลาด Forex มานาน ทำให้ระบบมีความเสถียร เชื่อถือได้
  • รองรับการฝากเงินได้ทั้งสกุลคริปโตและแบบธนาคาร เพิ่มความสะดวกในการเติมเงินเข้ามาเทรด

ข้อเสีย

  • มีเหรียญ Crypto ให้เลือกเทรดน้อยกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเหรียญเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีสภาพคล่อง
  • ค่าธรรมเนียมการเทรดค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด ถ้าเทรดบ่อยอาจกระทบกำไรได้มาก

4. Deribit

Deribit เป็นแพลตฟอร์มเทรด Crypto Derivatives เก่าแก่จากยุโรป โดยเน้นไปที่การเทรด BTC และ ETH Futures เป็นหลัก พร้อมมีจุดเด่นที่น่าสนใจ

Deribit
Deribit

ข้อดี

  • มีสภาพคล่องสูงมาก โดยเฉพาะในคู่เทรด BTC/USD และ ETH/USD ซึ่งมักมีออเดอร์เข้ามาจับคู่ได้อย่างรวดเร็ว
  • รองรับฟีเจอร์ Block Trades ซึ่งช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับออเดอร์ขนาดใหญ่ ที่อาจกระทบต่อราคาในตลาดปกติ
  • มี Options Trading ให้เทรดหลากหลายประเภท เหมาะสำหรับนักเทรดที่ต้องการบริหารความเสี่ยงหลายแบบ
  • มีมาตรฐานความปลอดภัยสูง ใช้ระบบกระเป๋าเงินแบบ Multi-sig และมีประกันเงินฝากของเทรดเดอร์ด้วย
  • มีค่าธรรมเนียมต่ำ หากเปรียบเทียบกับคู่แข่งในตลาด Options โดยเฉพาะ

ข้อเสีย

  • มีเหรียญให้เทรดเพียง 2 สกุลหลัก คือ BTC และ ETH เท่านั้น หากต้องการความหลากหลาย ต้องไปเทรดที่อื่น
  • มีระบบ UI ที่ค่อนข้างซับซ้อน ใช้งานยากสำหรับนักเทรดที่เพิ่งเริ่มต้น ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และทำความเข้าใจพอสมควร

5. Phemex

Phemex เป็นแพลตฟอร์มเทรด Crypto Derivatives ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2019 มีสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเงินชั้นนำของเอเชีย โดด Phemex มีจุดเด่นหลายประการดังนี้

Phemex
Phemex

ข้อดี

  • พัฒนาโดยทีมงานที่มีประสบการณ์มาจากบริษัทการเงินระดับโลกอย่าง Morgan Stanley ทำให้มีความเข้าใจตลาดการเงินและการเทรดเป็นอย่างดี
  • ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย สามารถรองรับการส่งคำสั่งซื้อขายได้ถึง 300,000 ออเดอร์ต่อวินาที ทำให้ประมวลผลได้รวดเร็วและลื่นไหล
  • มีฟีเจอร์ Sub-Account ให้เทรดเดอร์สามารถแยกพอร์ตการลงทุนได้หลายบัญชี เพื่อบริหารความเสี่ยงแยกกันได้
  • รองรับการเทรด Crypto Futures, Perpetual Contracts และ Spot Trading ครบในแพลตฟอร์มเดียว
  • ค่าธรรมเนียมการเทรดค่อนข้างต่ำ เริ่มต้นที่ 0.01% สำหรับ Taker Fee เท่านั้น
  • มีโปรแกรมอ้างอิงเพื่อน (Referral) ที่ให้ค่าคอมมิชชั่นสูงถึง 50% ในรูปแบบค่าธรรมเนียมของเพื่อนที่แนะนำ

ข้อเสีย

  • เพิ่งเปิดให้บริการได้ไม่นาน ทำให้ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของนักเทรดส่วนใหญ่
  • มีเหรียญคริปโตให้เลือกเทรดน้อยกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในตลาด Futures
  • ยังไม่พร้อมให้บริการในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา หรือญี่ปุ่น เนื่องจากข้อจำกัดทางกฎหมาย

โดยสรุปแล้ว จะพบว่าแพลตฟอร์มเทรด Crypto Futures แต่ละแห่งล้วนมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการและรูปแบบการเทรดเฉพาะบุคคลเป็นหลัก

สำหรับนักเทรดมือใหม่ที่ต้องการแพลตฟอร์มที่มีความเสถียร ใช้งานง่าย มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง และมีค่าธรรมเนียมต่ำ Binance Futures น่าจะเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ที่น่าสนใจ เนื่องจากมีจุดเด่นครบทุกด้านที่กล่าวมา อีกทั้งยังรองรับสกุลเงินดิจิทัลให้เลือกเทรดมากกว่า 100 เหรียญอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม หากท่านเป็นนักเทรดที่มีประสบการณ์ และมีความชื่นชอบในการใช้ Leverage ที่สูงเพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทน Bitget หรือ Bybit ที่มีระบบบริหารความเสี่ยงและป้องกันการขาดทุนที่มีประสิทธิภาพ ก็อาจจะเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจไม่แพ้กัน  ในทางกลับกัน  Deribit ก็ถือเป็นแพลตฟอร์มที่น่าสนใจ ด้วยสภาพคล่องที่สูง และอัตราค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าคู่แข่งในตลาดเดียวกัน

นอกจากนี้ Phemex แม้จะยังเป็นแพลตฟอร์มค่อนข้างใหม่ในวงการ แต่ด้วยการบริหารงานโดยทีมงานมืออาชีพที่มีประสบการณ์ การนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใช้ และโปรแกรมแนะนำสมาชิกใหม่ที่ให้ผลตอบแทนสูง ก็ทำให้น่าจับตามองไม่น้อยเลยทีเดียว